สถานที่ท่องเที่ยว
กรุงมาดริด Madrid | | | | ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์) | | | เมืองโตเลโด (Toledo) | | มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral) | | ซาลามังกา (Salamanca) | กาเซเรส (Cáceres) | ซาราโกซ่า Zaragoza
กรุงมาดริด Madrid
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์)
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษา
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัลคัมรอ" แปลว่า "(สิ่งที่มี) สีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่น ๆ ซึ่งสร้างด้วย การใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดง ๆ เช่นกัน พระราชวัง ท้องพระโรง และป้อมปราการ บนเนินเขาแห่งนี้ครอบคลุม พื้นที่ ราว 81.25 ไร่
หอจดหมายเหตุอินดีส (สเปน: Archivo General de Indias) เป็นสถานที่เก็บเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกาและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ที่เมืองเซบียาประเทศสเปนหอจดหมายเหตุอินดีสได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ.2530
เมืองโตเลโด (Toledo)
เมืองโตเลโด (Toledo) จุดหมายปลายทางที่เราต่างตั้งหน้าตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศสเปน ห่างจากกรุงมาดริดไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตรตอนนี้เราเดินทางออกจากรุงมาดริดมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นปลายยอดแหลมของอาคารอันโดดเด่นประจำเมืองอย่าง ป้อมอัลกาซาร์ ก็สร้างความฮือฮาได้ก่อนจะถึงตัวเมืองเสียอีก
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)ภายในวิหารก็มีความวิจิตรงดงามไม่แพ้ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังและที่อยู่บนเพดาน ซึ่งกว่าจะชมครบทุกส่วนคุณอาจต้องคอเคล็ดไปหลายวันเลยทีเดียว
ซาลามังกา (Salamanca)
กาเซเรส (Cáceres)
ซาราโกซ่า Zaragoza
กรุงมาดริด เป็นเมืองหลวงของสเปน ตั้งอยู่ในใจกลางของคาบสมุทรไอบีเรีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งเป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปะ และทั้งอุตสาหกรรมต่าง ๆ ชาวเมืองมาดริด ต่างมีชีวิตที่มีสีสันและที่ไม่หยุดนิ่ง มีบรรดาร้านกาแฟตามข้างถนนต่าง ๆ เรียงรายอยู่เต็มข้างทาง ทำให้ดูเหมือนเมืองนี้ ไม่มีวันหลับ อีกทั้งโรงละครและโรงภาพยนตร์ ก็มีรอบฉายกันอย่างครึกครื้น ตามแบบอย่างจากอเมริกา
กรุงมาดริด เป็นเมืองที่ค่อนข้างทันสมัย มีพิพิธภัณฑ์หลากหลายแห่ง ให้เลือกเข้าชม รวมทั้งสวนสาธารณะ และสวนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมี สนามสู้วัว จุผู้คน 23,000 คน และสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ที่จุผู้ชมได้ถึง 125,000 ที่นั่ง
มาดริด (Madrid) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสเปน มีประชากรอาศัยในตัวเมืองประมาณ 3.2 ล้านคน(ตัวเลขเมื่อปี 2005) และประชากรในเขตเมืองทั้งหมดประมาณ 6 ล้านคน (ตัวเลขเมื่อปี 2006) มาดริดยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดมาดริดด้วย
บาร์เซโลนาBarcelona
บาร์เซโลนา (อังกฤษ: Barcelona)เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสเปน ทั้งในด้านขนาดและประชากร ตั้งอยู่บนชายฝั่งของแหลมไอบีเรีย ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากรในตัวเมือง 1.5 ล้านคน แต่ถ้านับปริมณฑลโดยรอบอาจมากกว่า 4 ล้านคน ใช้ภาษาทางการ 2 ภาษา คือ ภาษาคาตาลัน (Catalan) และภาษาสเปน (Castilian Spanish)
บาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของโรมันมาก่อน เคยถูกยึดครองโดยชาติต่าง ๆ หลายครั้ง รวมทั้งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2183 บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยามราตรีที่รื่นเริงสนุกสนาน บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่
ที่สำคัญมากมาย อาคารแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่ดูแปลกประหลาดออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปนชื่ออันโตเนียว เกาดี (Antonio Gaudi) นับเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ
เมื่อปี พ.ศ. 2535 บาร์เซโลนาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 22 และเมื่อ พ.ศ. 2431 เคยเป็นที่จัดงานแสดงสินค้าโลก (World's Fair)บาร์เซโลนามีสโมสรกีฬาที่สำคัญคือ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ปาลาซิโอ เรอัล
ปาลาซิโอ เรอัลพระราชวังหลวงเก่าของมาดริด ที่พระเจ้าเฟลิเป้ที่ 5 แห่ง ราชวงศ์บูร์บง สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1735 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 25 ปี ภายในวังตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ทั่วทั้งวังประดับประดาไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า
ปลาซ่า มายอร์ (PLAZA MAYOR)
ปลาซ่า มายอร์ (PLAZA MAYOR)จัตุรัสหินซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองตั้งอยู่ในย่านเก่าแก่ในกรุงมาดริด ในอดีตเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น พิธีราชาภิเษก และสนามสู้วัวกระทิง ปัจจุบันนี้ยังเป็นจัตุรัสกลางเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่ รอบๆ บริเวณจะมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากมาย
สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด
สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนานเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวมาดริด ถ้าเป็นคนรักการแข่งขันฟุตบอล ย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโมสรฟุตบอลแห่งนี้
วังเอล เอสโกเรียล ซึ่งเป็นวังหลวงที่พระเจ้าเฟลิปเป้ที่ 2 สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1563 และเสร็จในปี 1584 รวมระยะเวลาการสร้างนานถึง 21 ปี มีขนาดใหญ่โตและเป็นศิลปะการนำเอาวัด วัง และโบสถ์ผสมผสานประยุกต์เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว วังนี้มีประตูถึง 1,200 บาน และหน้าต่าง 2,673 บาน สิ่งที่น่าสนใจในวังนี้คือห้องสมุด ซึ่งว่ากันว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากห้องสมุดของวาติกัน และเป็นแหล่งสะสมงานเขียนในภาษาอาหรับมากที่สุดในโลก
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์)
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์) ในภาษาอาระบิคแปลว่าปราสาท หลายคนเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงชันที่ที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 แล้วได้รับการต่อเติมในศตวรรษที่ 15 และ 16 มีลักษณะเหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกในอดีต เพราะมีทั้งช่องใบเสมาขนาดใหญ่ ใช้สำหรับติดตั้งอาวุธยิงได้ และมีช่องสำหรับเทน้ำเดือดเพื่อทำลายกองทัพข้าศึกที่เข้าประชิดกำแพงเมือง ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับแสดงของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ห้องใต้หลังคาเป็นที่แสดงแสนยานุภาพของอาวุธในสมัยกลาง รวมถึงเครื่องมืเครื่องใช้ในอดีต และในปี ค.ศ. 1975 ยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เซโกเบียเป็นมรดกโลกทางศิลปะวัฒนธรรม
มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์
มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์สัญลักษณ์ของเมืองอันโด่งดัง สร้างขึ้นในปี 1882 ในแบบนีโอ โกธิค โดยมีฟรานเชส บิลาร์เป็นผู้ควบคุมงานสร้าง ในปี 1891 อันโตนี่ เกาดี้ รับช่วงต่อแทนและออกแบบงานชิ้นใหญ่ที่มีความสูงถึง 150 เมตร จนเกาดี้เสียชีวิตในปี 1926 จนบัดนี้งานชิ้นนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ
สนามกีฬาคัมป์ นู
สนามกีฬาคัมป์ นู สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความจุมากกว่า 90,000 ที่นั่ง มีฉายาว่า ชามอ่างยักษ์ เป็นสนามเหย้าของ ทีมฟุตบอลสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นทีมที่มีเกียรติประวัติต่างๆ มากมาย และเป็นความภาคภูมิใจของชาวคาตาลุนญ่า สนามแห่งนี้เป็นสปอร์ตคอม เพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่มีทีมกีฬาในสังกัดสโมสรบาร์เซโลน่าอยู่หลายขนิด แต่ ที่โด่งดังที่สุดคือทีมฟุตบอลบาร์เซโลน่า
อาลัมบรา Alhambra
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษา
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัลคัมรอ" แปลว่า "(สิ่งที่มี) สีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่น ๆ ซึ่งสร้างด้วย การใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดง ๆ เช่นกัน พระราชวัง ท้องพระโรง และป้อมปราการ บนเนินเขาแห่งนี้ครอบคลุม พื้นที่ ราว 81.25 ไร่
หอจดหมายเหตุอินดีส
หอจดหมายเหตุอินดีส(สเปน: Archivo General de Indias)เป็นสถานที่เก็บเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกาและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ที่เมืองเซบียาประเทศสเปนหอจดหมายเหตุอินดีสได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ.2530
เมืองโตเลโด (Toledo)
เมืองโตเลโด (Toledo) จุดหมายปลายทางที่เราต่างตั้งหน้าตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศสเปน ห่างจากกรุงมาดริดไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตรตอนนี้เราเดินทางออกจากรุงมาดริดมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นปลายยอดแหลมของอาคารอันโดดเด่นประจำเมืองอย่าง ป้อมอัลกาซาร์ ก็สร้างความฮือฮาได้ก่อนจะถึงตัวเมืองเสียอีก
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)ภายในวิหารก็มีความวิจิตรงดงามไม่แพ้ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังและที่อยู่บนเพดาน ซึ่งกว่าจะชมครบทุกส่วนคุณอาจต้องคอเคล็ดไปหลายวันเลยทีเดียว
Santa Cruz Museum โดยภายในจะมีการเก็บรักษาศิลปวัตถุยุคกลาง และเรอเนสซองส์ และประวัติศาสตร์อื่นๆอีกมากมาย และสุดท้ายแวะมาชมความงดงามของ ประตู Cambrón ประตูที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น
ซาลามังกา (Salamanca)
ซาลามังกา (Salamanca) เป็นเมืองหลักของจังหวัดซาลามังกาในแคว้นคาสตีลและเลออน ทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงริมแม่น้ำตอร์เมส ซึ่งมีสะพานข้ามแห่งหนึ่งสูง 150 เมตร สร้างบนส่วนโค้ง (arch) 26 ชิ้นส่วน โดย 15 ชิ้นส่วนนั้นสร้างขึ้นในสมัยโรมัน ส่วนที่เหลือสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปัจจุบัน (ค.ศ. 2005) ซาลามังกามีประชากร 160,331 คน
กาเซเรส (Cáceres)
กาเซเรส (Cáceres) ซาลามังกา (Salamanca) เป็นเมืองหลักของจังหวัดกาเซเรสในแคว้นเอกซ์เตรมาดูรา ทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน เขตเทศบาลของเมืองมีเนื้อที่ 1,750.33 ตารางกิโลเมตร (675.806 ตารางไมล์) ซึ่งเป็นขอบเขตทางภูมิศาสตร์ (เมือง) ที่ใหญ่ที่สุดในสเปน
เขตเมืองเก่าหรือ "ซิวดัดโมนูเมนตัล" (Ciudad Monumental) ยังคงมีกำแพงโบราณล้อมรอบอยู่โดยยังคงลักษณะที่ได้สร้างไว้ในยุคกลางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของความเป็นปัจจุบันให้เห็น มหาวิทยาลัยเอกซ์เตรมาดูราและหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ 2 แห่งก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้ นอกจากนี้กาเซเรสยังเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลคาทอลิกโกเรีย-กาเซเรส (Coria-Cáceres)
แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto)
แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปนบริเวณพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน) ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบ ด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเองเหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า
ซาราโกซ่า Zaragoza
ซาราโกซ่า (Zaragoza; Saragossa)เป็นเมืองหลักของแคว้นและของ (อดีต) ราชอาณาจักรอารากอน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอโบรและแควสาขาอวยร์บาและกาเยโก ในหุบเขาตอนกลางของแคว้นซึ่งมีภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทราย ("โลสโมเนโกรส") ป่าหนาทึบ ทุ่งหญ้า ไป
งานเทศกาล
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España) | | เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน | เทศกาลปราสาทมนุษย์
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España)
เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน
ทุกวันจะมีการปล่อยวัวกระทิงทั้งหมดหกตัวออกมาวิ่งตามถนนไปจนถึงวันสุดท้าย ของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะวิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัว กระทิงในตอนบ่ายวันเดียวกัน เทศกาลวิ่งวิวกระทิงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่สิบสาม แต่ในยุคปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์
เทศกาลปราสาทมนุษย์
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España)
เมื่อพูดถึงประเทศสเปน ที่เลื่องชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศนี้ คือ การจัดเทศกาลและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ซึ่งมีหลากหลายตลอดปี และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไปซะหมด ดูกี่รอบ ๆ ก็ไม่เบื่อ ส่วนมากแล้ว งานฉลองต่าง ๆ หรือที่เรียกกันในภาษาสเปนว่า La fiesta ลา เฟียซต้า นั้น จะจัดฉลองกันเพื่อประเทศชาติ และคนในประเทศ แต่ก็มีบางงาน ที่เล่นกันในเฉพาะเมือง เพราะว่าแต่ละเมืองของสเปน มีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ถ้าใครไปสเปน ไม่ว่าจะช่วงไหนของปี ก็จะมีงานฉลอง หรืองานเทศกาลให้ดูกันทั้งปีเลย มันต้องมีที่ไหนซักแห่งในสเปนล่ะน่า
617203-img-2.jpg
เทศกาลที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งของสเปน แม้แต่คนไทยยังรู้จักกัน เพราะความแปลก คือ เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ เรียกว่า La Tomatina ลา โตมาติ๊หน่า ในภาษาสเปน ซึ่งเฉลิมฉลอง เริ่มปามะเขือเทศใส่หัวกัน ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่เฉพาะเมือง บุนโยล (Bunyol) ทางภาคตะวันออกของสเปน ซึ่งอยู่ห่างจากบาเลนเซียไป 30 กิโลเมตร เทศกาลปามะเขือเทศนี้ ดุเดือด เข้มข้น ด้วย “ศึกปามะเขือเทศ” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธของสัปดาห์นั้น ชื่อก็บอก ว่าเป็นศึกปามะเขือเทศ ดังนั้น คนที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ ทั้งชาวเมืองเอง และผู้มาเยือน ต่างก็ปามะเขือเทศใส่กันอย่างสนุกสนาน
ในแต่ละปี ลา โตมาติ๊นา ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศสเปนเป็นจำนวนมาก แล้วก็มีคนมาร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยต้องมีการตั้งกฎกติการกันซักหน่อย เพื่อความปลอดภัยและเพื่อรักษาประเพณีอันดีงามไว้ กฎก็มีอยู่ดังนี้
- ไม่ปาขวดหรือของแข็งใส่กัน
- ห้ามฉีกเสื้อยืดกัน
- ต้องทุบมะเขือเทศให้น่วม ก่อนมาปาใส่กันfbe3a8fa51.jpg
- ระวังรถบรรทุกที่บรรทุกมะเขือเทศมาด้วย เด๋วรถเหยียบเอา
- เมื่อเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้น ให้หยุดปามะเขือเทศทันที
นอกจากนี้ ก่อนและหลังวันพุธซึ่งเป็นวันทำศึก ก็จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองกัน ส่วนช่วงเวลาเด็ดสุดในเทศกาลนี้ คือช่วงตี 1 ถึงช่วงบ่ายโมงของวันพุธ
ส่วนประวัติของการทำศึกปามะเขือเทศ ก็มีอยู่สองกระแส กระแสแรกบอกว่า ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มคนเกิดอยากจะแกล้งคนที่กำลังเดินถนนอยู่ในเมืองโดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาร้องเพลงและเล่นดนตรีประกอบได้ห่วยมาก ๆ คนในเมืองเลยตัดสินใจว่าน่าจะหาอะไรปาใส่มันซะหน่อย หันไปหันมา เจอมะเขือเทศ เออ ก็เอามะเขือเทศนี่ละว้า ปาใส่เจ้านักร้องเสียงหลง แถมยังปาผักและผลไม้อื่นๆ ใส่ไปด้วย แล้วก็มีคนมาช่วยปาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้าย กลายเป็นศึกปามะเขือเทศใส่กันเองไป
ส่วนอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือมากที่สุด บอกว่า เริ่มจากในปี ค.ศ. 1945 บริเวณทาวน์ สแควร์ ที่จัดศึกปามะเขือเทศในปัจจุบัน นั้นมีคนหนุ่มสาว พากันมาดูขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudos" กิอ๊านเต่ส อี ก่าเบ๊ซูโดส ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่โชว์ยักษ์แบบต่าง ๆ ที่มีหัวโคตรน่าเกลียด แล้วหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ได้เข้ามาร่วมในวงดุริยางค์ในขบวนพาเหรด แล้วก็ไปผลักคนที่แต่งตัวเป็นยักษ์หัวหน้าเกลียดในขบวนเข้า เจ้ายักษ์ตัวหนึ่งล้มลง พอลุกขึ้น ก็ชกต่อยทุกคนรอบ ๆ ทีนี้ทุกคนเลยต่อสู้กันนัวเนียไปหมด พอดีมีแผงขายผลไม้อยู่ข้างทาง พวกหนุ่มสาวเหล่านั้น เลยไปคว้ามะเขือเทศมาปาใส่กัน จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติศึกในครั้งนั้น แต่พวกในขบวนก็ยังไม่หายแค้น เพราะต้องเป็นคนจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วย
พอปีต่อมา เป็นวันพุธเดิม ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม พวกหนุ่มสาวจอมซ่าส์ก็มาเจอกับพวกในขบวนพาเหรดอีกครั้ง คราวนี้ ขนมะเขือเทศกันมาเอง แล้วก็เริ่มทำศึกกันในวันนั้นเอง แต่ก็มีตำรวจมายุติศึกจนได้ ส่วนในปีหลังจากนั้น ทางการได้สั่งห้ามการทำศึกมะเขือเทศ ซึ่งได้กลายมาเป็น “วันทำศึกมะเขือเทศ ”โดยปริยาย แต่กระนั้น ผู้คนก็เริ่มฉลองวันทำศึกดังกล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในแต่ละปี มีคนมาร่วมงานประมาณ 10,000 คนเลยเชียว
เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน
ชาวสเปนและนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายพันคนเบียดเสียดกันในย่านประวัติศาสตร์ ในเมืองปัมโพลน่าของสเปนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลวิ่งวัวกระทิง ซาน เฟอร์มิน ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก
เทศกาลวิ่งวัวกระทิงจัดขึ้นทั้งหมดเก้าวัน โดยการวิ่งวัวรอบแรกเริ่มต้นด้วยการปล่อยวัวกระทิงหกตัวออกมาจากคอกเพื่อไล่ คนที่วิ่งหนีอุตลุดไปตามถนนแคบๆ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นสองนาทีกับอีกยี่สิบสามวินาที และท้ายที่สุดก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยสองคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียหนึ่งคน และชาวสเปนอีกหนึ่งคน
เทศกาลซาน เฟอร์มินนี้ จัดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่วันที่ 7-14 กรกฎาคมของทุกปี โดยเป็นเทศกาลที่มีผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเข้าร่วม ซึ่งนักวิ่งวัวกระทิงทั้งหลายเหล่านี้จะมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่ง ชั่วโมงก่อนปล่อยวัวกระทิง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นและมีอะดรีนาลี นสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เป็นประสบการณ์วิ่งหนีเอาชีวิตรอดที่น่าประทับใจ
ทุกวันจะมีการปล่อยวัวกระทิงทั้งหมดหกตัวออกมาวิ่งตามถนนไปจนถึงวันสุดท้าย ของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะวิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัว กระทิงในตอนบ่ายวันเดียวกัน เทศกาลวิ่งวิวกระทิงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่สิบสาม แต่ในยุคปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์
เทศกาลปราสาทมนุษย์
จัดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม ที่เมือง Tarragona ประเทศสเปน เทศกาลสร้างปราสาทมนุษย์ จะแข่งขันโดยจะให้คนมายืนต่อตัวกันสูงขึ้นไปหลายๆชั้นเหมือนปราสาท ทีมไหนต่อตัวได้สูงที่สุดก็จะชนะไป
กรุงมาดริด Madrid | | | | ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์) | | | เมืองโตเลโด (Toledo) | | มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral) | | ซาลามังกา (Salamanca) | กาเซเรส (Cáceres) | ซาราโกซ่า Zaragoza
กรุงมาดริด Madrid
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์)
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษา
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัลคัมรอ" แปลว่า "(สิ่งที่มี) สีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่น ๆ ซึ่งสร้างด้วย การใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดง ๆ เช่นกัน พระราชวัง ท้องพระโรง และป้อมปราการ บนเนินเขาแห่งนี้ครอบคลุม พื้นที่ ราว 81.25 ไร่
หอจดหมายเหตุอินดีส (สเปน: Archivo General de Indias) เป็นสถานที่เก็บเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกาและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ที่เมืองเซบียาประเทศสเปนหอจดหมายเหตุอินดีสได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ.2530
เมืองโตเลโด (Toledo)
เมืองโตเลโด (Toledo) จุดหมายปลายทางที่เราต่างตั้งหน้าตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศสเปน ห่างจากกรุงมาดริดไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตรตอนนี้เราเดินทางออกจากรุงมาดริดมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นปลายยอดแหลมของอาคารอันโดดเด่นประจำเมืองอย่าง ป้อมอัลกาซาร์ ก็สร้างความฮือฮาได้ก่อนจะถึงตัวเมืองเสียอีก
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)ภายในวิหารก็มีความวิจิตรงดงามไม่แพ้ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังและที่อยู่บนเพดาน ซึ่งกว่าจะชมครบทุกส่วนคุณอาจต้องคอเคล็ดไปหลายวันเลยทีเดียว
ซาลามังกา (Salamanca)
กาเซเรส (Cáceres)
ซาราโกซ่า Zaragoza
กรุงมาดริด เป็นเมืองหลวงของสเปน ตั้งอยู่ในใจกลางของคาบสมุทรไอบีเรีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งเป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปะ และทั้งอุตสาหกรรมต่าง ๆ ชาวเมืองมาดริด ต่างมีชีวิตที่มีสีสันและที่ไม่หยุดนิ่ง มีบรรดาร้านกาแฟตามข้างถนนต่าง ๆ เรียงรายอยู่เต็มข้างทาง ทำให้ดูเหมือนเมืองนี้ ไม่มีวันหลับ อีกทั้งโรงละครและโรงภาพยนตร์ ก็มีรอบฉายกันอย่างครึกครื้น ตามแบบอย่างจากอเมริกา
กรุงมาดริด เป็นเมืองที่ค่อนข้างทันสมัย มีพิพิธภัณฑ์หลากหลายแห่ง ให้เลือกเข้าชม รวมทั้งสวนสาธารณะ และสวนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมี สนามสู้วัว จุผู้คน 23,000 คน และสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ที่จุผู้ชมได้ถึง 125,000 ที่นั่ง
มาดริด (Madrid) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสเปน มีประชากรอาศัยในตัวเมืองประมาณ 3.2 ล้านคน(ตัวเลขเมื่อปี 2005) และประชากรในเขตเมืองทั้งหมดประมาณ 6 ล้านคน (ตัวเลขเมื่อปี 2006) มาดริดยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดมาดริดด้วย
บาร์เซโลนาBarcelona
บาร์เซโลนา (อังกฤษ: Barcelona)เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสเปน ทั้งในด้านขนาดและประชากร ตั้งอยู่บนชายฝั่งของแหลมไอบีเรีย ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากรในตัวเมือง 1.5 ล้านคน แต่ถ้านับปริมณฑลโดยรอบอาจมากกว่า 4 ล้านคน ใช้ภาษาทางการ 2 ภาษา คือ ภาษาคาตาลัน (Catalan) และภาษาสเปน (Castilian Spanish)
บาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของโรมันมาก่อน เคยถูกยึดครองโดยชาติต่าง ๆ หลายครั้ง รวมทั้งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2183 บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยามราตรีที่รื่นเริงสนุกสนาน บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่
ที่สำคัญมากมาย อาคารแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่ดูแปลกประหลาดออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปนชื่ออันโตเนียว เกาดี (Antonio Gaudi) นับเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ
เมื่อปี พ.ศ. 2535 บาร์เซโลนาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 22 และเมื่อ พ.ศ. 2431 เคยเป็นที่จัดงานแสดงสินค้าโลก (World's Fair)บาร์เซโลนามีสโมสรกีฬาที่สำคัญคือ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ปาลาซิโอ เรอัล
ปาลาซิโอ เรอัลพระราชวังหลวงเก่าของมาดริด ที่พระเจ้าเฟลิเป้ที่ 5 แห่ง ราชวงศ์บูร์บง สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1735 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 25 ปี ภายในวังตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ทั่วทั้งวังประดับประดาไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า
ปลาซ่า มายอร์ (PLAZA MAYOR)
ปลาซ่า มายอร์ (PLAZA MAYOR)จัตุรัสหินซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองตั้งอยู่ในย่านเก่าแก่ในกรุงมาดริด ในอดีตเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น พิธีราชาภิเษก และสนามสู้วัวกระทิง ปัจจุบันนี้ยังเป็นจัตุรัสกลางเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่ รอบๆ บริเวณจะมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากมาย
สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด
สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนานเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวมาดริด ถ้าเป็นคนรักการแข่งขันฟุตบอล ย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโมสรฟุตบอลแห่งนี้
วังเอล เอสโกเรียล ซึ่งเป็นวังหลวงที่พระเจ้าเฟลิปเป้ที่ 2 สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1563 และเสร็จในปี 1584 รวมระยะเวลาการสร้างนานถึง 21 ปี มีขนาดใหญ่โตและเป็นศิลปะการนำเอาวัด วัง และโบสถ์ผสมผสานประยุกต์เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว วังนี้มีประตูถึง 1,200 บาน และหน้าต่าง 2,673 บาน สิ่งที่น่าสนใจในวังนี้คือห้องสมุด ซึ่งว่ากันว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากห้องสมุดของวาติกัน และเป็นแหล่งสะสมงานเขียนในภาษาอาหรับมากที่สุดในโลก
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์)
ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์) ในภาษาอาระบิคแปลว่าปราสาท หลายคนเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงชันที่ที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 แล้วได้รับการต่อเติมในศตวรรษที่ 15 และ 16 มีลักษณะเหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกในอดีต เพราะมีทั้งช่องใบเสมาขนาดใหญ่ ใช้สำหรับติดตั้งอาวุธยิงได้ และมีช่องสำหรับเทน้ำเดือดเพื่อทำลายกองทัพข้าศึกที่เข้าประชิดกำแพงเมือง ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับแสดงของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ห้องใต้หลังคาเป็นที่แสดงแสนยานุภาพของอาวุธในสมัยกลาง รวมถึงเครื่องมืเครื่องใช้ในอดีต และในปี ค.ศ. 1975 ยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เซโกเบียเป็นมรดกโลกทางศิลปะวัฒนธรรม
มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์
มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์สัญลักษณ์ของเมืองอันโด่งดัง สร้างขึ้นในปี 1882 ในแบบนีโอ โกธิค โดยมีฟรานเชส บิลาร์เป็นผู้ควบคุมงานสร้าง ในปี 1891 อันโตนี่ เกาดี้ รับช่วงต่อแทนและออกแบบงานชิ้นใหญ่ที่มีความสูงถึง 150 เมตร จนเกาดี้เสียชีวิตในปี 1926 จนบัดนี้งานชิ้นนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ
สนามกีฬาคัมป์ นู
สนามกีฬาคัมป์ นู สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความจุมากกว่า 90,000 ที่นั่ง มีฉายาว่า ชามอ่างยักษ์ เป็นสนามเหย้าของ ทีมฟุตบอลสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นทีมที่มีเกียรติประวัติต่างๆ มากมาย และเป็นความภาคภูมิใจของชาวคาตาลุนญ่า สนามแห่งนี้เป็นสปอร์ตคอม เพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่มีทีมกีฬาในสังกัดสโมสรบาร์เซโลน่าอยู่หลายขนิด แต่ ที่โด่งดังที่สุดคือทีมฟุตบอลบาร์เซโลน่า
อาลัมบรา Alhambra
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษา
อาลัมบรา Alhambra คือพระราชวัง และป้อมปราการ ตั้งอยู่ที่เมือง กรานาดาในแคว้นอันดาลูเซีย ทางภาคใต้ของประเทศสเปน สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1248-1354 โดยกษัตริย์มุสลิมชาวมัวร์ พระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 1 อิบน์ นัสร์ แห่งราชวงศ์นาสริด ซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวมุสลิมราชวงศ์สุดท้ายในสเปน คำว่า "อาลัมบรา" มาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัลคัมรอ" แปลว่า "(สิ่งที่มี) สีแดง" เนื่องจากตัวป้อมปราการนั้นก่อสร้างด้วยหิน ดิน และอิฐสีแดง ส่วนอาคารอื่น ๆ ซึ่งสร้างด้วย การใช้ปูนขาวเป็นส่วนประกอบก็จะเห็นเป็นสีออกแดง ๆ เช่นกัน พระราชวัง ท้องพระโรง และป้อมปราการ บนเนินเขาแห่งนี้ครอบคลุม พื้นที่ ราว 81.25 ไร่
หอจดหมายเหตุอินดีส
หอจดหมายเหตุอินดีส(สเปน: Archivo General de Indias)เป็นสถานที่เก็บเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกาและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ที่เมืองเซบียาประเทศสเปนหอจดหมายเหตุอินดีสได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ.2530
เมืองโตเลโด (Toledo)
เมืองโตเลโด (Toledo) จุดหมายปลายทางที่เราต่างตั้งหน้าตั้งตารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศสเปน ห่างจากกรุงมาดริดไปทางทิศใต้ประมาณ 70 กิโลเมตรตอนนี้เราเดินทางออกจากรุงมาดริดมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นปลายยอดแหลมของอาคารอันโดดเด่นประจำเมืองอย่าง ป้อมอัลกาซาร์ ก็สร้างความฮือฮาได้ก่อนจะถึงตัวเมืองเสียอีก
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)
มหาวิหารแห่งโตเลโด (Toledo Cathedral)ภายในวิหารก็มีความวิจิตรงดงามไม่แพ้ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังและที่อยู่บนเพดาน ซึ่งกว่าจะชมครบทุกส่วนคุณอาจต้องคอเคล็ดไปหลายวันเลยทีเดียว
Santa Cruz Museum โดยภายในจะมีการเก็บรักษาศิลปวัตถุยุคกลาง และเรอเนสซองส์ และประวัติศาสตร์อื่นๆอีกมากมาย และสุดท้ายแวะมาชมความงดงามของ ประตู Cambrón ประตูที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น
ซาลามังกา (Salamanca)
ซาลามังกา (Salamanca) เป็นเมืองหลักของจังหวัดซาลามังกาในแคว้นคาสตีลและเลออน ทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงริมแม่น้ำตอร์เมส ซึ่งมีสะพานข้ามแห่งหนึ่งสูง 150 เมตร สร้างบนส่วนโค้ง (arch) 26 ชิ้นส่วน โดย 15 ชิ้นส่วนนั้นสร้างขึ้นในสมัยโรมัน ส่วนที่เหลือสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปัจจุบัน (ค.ศ. 2005) ซาลามังกามีประชากร 160,331 คน
กาเซเรส (Cáceres)
กาเซเรส (Cáceres) ซาลามังกา (Salamanca) เป็นเมืองหลักของจังหวัดกาเซเรสในแคว้นเอกซ์เตรมาดูรา ทางภาคตะวันตกของประเทศสเปน เขตเทศบาลของเมืองมีเนื้อที่ 1,750.33 ตารางกิโลเมตร (675.806 ตารางไมล์) ซึ่งเป็นขอบเขตทางภูมิศาสตร์ (เมือง) ที่ใหญ่ที่สุดในสเปน
เขตเมืองเก่าหรือ "ซิวดัดโมนูเมนตัล" (Ciudad Monumental) ยังคงมีกำแพงโบราณล้อมรอบอยู่โดยยังคงลักษณะที่ได้สร้างไว้ในยุคกลางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของความเป็นปัจจุบันให้เห็น มหาวิทยาลัยเอกซ์เตรมาดูราและหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ 2 แห่งก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้ นอกจากนี้กาเซเรสยังเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลคาทอลิกโกเรีย-กาเซเรส (Coria-Cáceres)
แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto)
แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปนบริเวณพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน) ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบ ด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเองเหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า
ซาราโกซ่า Zaragoza
ซาราโกซ่า (Zaragoza; Saragossa)เป็นเมืองหลักของแคว้นและของ (อดีต) ราชอาณาจักรอารากอน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสเปน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอโบรและแควสาขาอวยร์บาและกาเยโก ในหุบเขาตอนกลางของแคว้นซึ่งมีภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลทราย ("โลสโมเนโกรส") ป่าหนาทึบ ทุ่งหญ้า ไป
งานเทศกาล
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España) | | เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน | เทศกาลปราสาทมนุษย์
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España)
เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน
ทุกวันจะมีการปล่อยวัวกระทิงทั้งหมดหกตัวออกมาวิ่งตามถนนไปจนถึงวันสุดท้าย ของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะวิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัว กระทิงในตอนบ่ายวันเดียวกัน เทศกาลวิ่งวิวกระทิงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่สิบสาม แต่ในยุคปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์
เทศกาลปราสาทมนุษย์
เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España)
เมื่อพูดถึงประเทศสเปน ที่เลื่องชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศนี้ คือ การจัดเทศกาลและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ซึ่งมีหลากหลายตลอดปี และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไปซะหมด ดูกี่รอบ ๆ ก็ไม่เบื่อ ส่วนมากแล้ว งานฉลองต่าง ๆ หรือที่เรียกกันในภาษาสเปนว่า La fiesta ลา เฟียซต้า นั้น จะจัดฉลองกันเพื่อประเทศชาติ และคนในประเทศ แต่ก็มีบางงาน ที่เล่นกันในเฉพาะเมือง เพราะว่าแต่ละเมืองของสเปน มีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ถ้าใครไปสเปน ไม่ว่าจะช่วงไหนของปี ก็จะมีงานฉลอง หรืองานเทศกาลให้ดูกันทั้งปีเลย มันต้องมีที่ไหนซักแห่งในสเปนล่ะน่า
617203-img-2.jpg
เทศกาลที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งของสเปน แม้แต่คนไทยยังรู้จักกัน เพราะความแปลก คือ เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ เรียกว่า La Tomatina ลา โตมาติ๊หน่า ในภาษาสเปน ซึ่งเฉลิมฉลอง เริ่มปามะเขือเทศใส่หัวกัน ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่เฉพาะเมือง บุนโยล (Bunyol) ทางภาคตะวันออกของสเปน ซึ่งอยู่ห่างจากบาเลนเซียไป 30 กิโลเมตร เทศกาลปามะเขือเทศนี้ ดุเดือด เข้มข้น ด้วย “ศึกปามะเขือเทศ” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธของสัปดาห์นั้น ชื่อก็บอก ว่าเป็นศึกปามะเขือเทศ ดังนั้น คนที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ ทั้งชาวเมืองเอง และผู้มาเยือน ต่างก็ปามะเขือเทศใส่กันอย่างสนุกสนาน
ในแต่ละปี ลา โตมาติ๊นา ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศสเปนเป็นจำนวนมาก แล้วก็มีคนมาร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยต้องมีการตั้งกฎกติการกันซักหน่อย เพื่อความปลอดภัยและเพื่อรักษาประเพณีอันดีงามไว้ กฎก็มีอยู่ดังนี้
- ไม่ปาขวดหรือของแข็งใส่กัน
- ห้ามฉีกเสื้อยืดกัน
- ต้องทุบมะเขือเทศให้น่วม ก่อนมาปาใส่กันfbe3a8fa51.jpg
- ระวังรถบรรทุกที่บรรทุกมะเขือเทศมาด้วย เด๋วรถเหยียบเอา
- เมื่อเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้น ให้หยุดปามะเขือเทศทันที
นอกจากนี้ ก่อนและหลังวันพุธซึ่งเป็นวันทำศึก ก็จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองกัน ส่วนช่วงเวลาเด็ดสุดในเทศกาลนี้ คือช่วงตี 1 ถึงช่วงบ่ายโมงของวันพุธ
ส่วนประวัติของการทำศึกปามะเขือเทศ ก็มีอยู่สองกระแส กระแสแรกบอกว่า ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มคนเกิดอยากจะแกล้งคนที่กำลังเดินถนนอยู่ในเมืองโดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาร้องเพลงและเล่นดนตรีประกอบได้ห่วยมาก ๆ คนในเมืองเลยตัดสินใจว่าน่าจะหาอะไรปาใส่มันซะหน่อย หันไปหันมา เจอมะเขือเทศ เออ ก็เอามะเขือเทศนี่ละว้า ปาใส่เจ้านักร้องเสียงหลง แถมยังปาผักและผลไม้อื่นๆ ใส่ไปด้วย แล้วก็มีคนมาช่วยปาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้าย กลายเป็นศึกปามะเขือเทศใส่กันเองไป
ส่วนอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือมากที่สุด บอกว่า เริ่มจากในปี ค.ศ. 1945 บริเวณทาวน์ สแควร์ ที่จัดศึกปามะเขือเทศในปัจจุบัน นั้นมีคนหนุ่มสาว พากันมาดูขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudos" กิอ๊านเต่ส อี ก่าเบ๊ซูโดส ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่โชว์ยักษ์แบบต่าง ๆ ที่มีหัวโคตรน่าเกลียด แล้วหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ได้เข้ามาร่วมในวงดุริยางค์ในขบวนพาเหรด แล้วก็ไปผลักคนที่แต่งตัวเป็นยักษ์หัวหน้าเกลียดในขบวนเข้า เจ้ายักษ์ตัวหนึ่งล้มลง พอลุกขึ้น ก็ชกต่อยทุกคนรอบ ๆ ทีนี้ทุกคนเลยต่อสู้กันนัวเนียไปหมด พอดีมีแผงขายผลไม้อยู่ข้างทาง พวกหนุ่มสาวเหล่านั้น เลยไปคว้ามะเขือเทศมาปาใส่กัน จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติศึกในครั้งนั้น แต่พวกในขบวนก็ยังไม่หายแค้น เพราะต้องเป็นคนจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วย
พอปีต่อมา เป็นวันพุธเดิม ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม พวกหนุ่มสาวจอมซ่าส์ก็มาเจอกับพวกในขบวนพาเหรดอีกครั้ง คราวนี้ ขนมะเขือเทศกันมาเอง แล้วก็เริ่มทำศึกกันในวันนั้นเอง แต่ก็มีตำรวจมายุติศึกจนได้ ส่วนในปีหลังจากนั้น ทางการได้สั่งห้ามการทำศึกมะเขือเทศ ซึ่งได้กลายมาเป็น “วันทำศึกมะเขือเทศ ”โดยปริยาย แต่กระนั้น ผู้คนก็เริ่มฉลองวันทำศึกดังกล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในแต่ละปี มีคนมาร่วมงานประมาณ 10,000 คนเลยเชียว
เทศกาลวิ่งหนีวัวกระทิงที่สเปน
ชาวสเปนและนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายพันคนเบียดเสียดกันในย่านประวัติศาสตร์ ในเมืองปัมโพลน่าของสเปนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลวิ่งวัวกระทิง ซาน เฟอร์มิน ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก
เทศกาลวิ่งวัวกระทิงจัดขึ้นทั้งหมดเก้าวัน โดยการวิ่งวัวรอบแรกเริ่มต้นด้วยการปล่อยวัวกระทิงหกตัวออกมาจากคอกเพื่อไล่ คนที่วิ่งหนีอุตลุดไปตามถนนแคบๆ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นสองนาทีกับอีกยี่สิบสามวินาที และท้ายที่สุดก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยสองคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียหนึ่งคน และชาวสเปนอีกหนึ่งคน
เทศกาลซาน เฟอร์มินนี้ จัดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่วันที่ 7-14 กรกฎาคมของทุกปี โดยเป็นเทศกาลที่มีผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเข้าร่วม ซึ่งนักวิ่งวัวกระทิงทั้งหลายเหล่านี้จะมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่ง ชั่วโมงก่อนปล่อยวัวกระทิง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นและมีอะดรีนาลี นสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เป็นประสบการณ์วิ่งหนีเอาชีวิตรอดที่น่าประทับใจ
ทุกวันจะมีการปล่อยวัวกระทิงทั้งหมดหกตัวออกมาวิ่งตามถนนไปจนถึงวันสุดท้าย ของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะวิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัว กระทิงในตอนบ่ายวันเดียวกัน เทศกาลวิ่งวิวกระทิงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่สิบสาม แต่ในยุคปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์
เทศกาลปราสาทมนุษย์
จัดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม ที่เมือง Tarragona ประเทศสเปน เทศกาลสร้างปราสาทมนุษย์ จะแข่งขันโดยจะให้คนมายืนต่อตัวกันสูงขึ้นไปหลายๆชั้นเหมือนปราสาท ทีมไหนต่อตัวได้สูงที่สุดก็จะชนะไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น