บทเรียนที่ 1: พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ภาษาอาหรับ (Arabic Language)

พยัญชนะ อักษรอาหรับ (Arabic Language)
เขียนจากขวาไปซ้าย มีอักษรพื้นฐาน 28 ตัว การปรับไปเขียนภาษาอื่น เช่น ภาษาเปอร์เซียและภาษาอูรดูจะเพิ่มอักษรอื่นเข้ามา ไม่มีความแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์กับตัวเขียนและตัวเล็กกับตัวใหญ่ อักษรแต่ละตัวจะเขียนติดกับอักษรตัวอื่นแม้ในการพิมพ์และรูปอักษรเปลี่ยนไปขึ้นกับตำแหน่งในคำ ไม่มีการเขียนสระเสียงสั้น ผู้อ่านต้องจดจำเอาเองว่าคำคำนั้นมีเสียงสระเป็นอย่างไร จะเขียนเฉพาะสระเสียงยาวเท่านั้น ในคัมภีร์อัลกุรอานหรือในการสอนจะใช้เครื่องหมายแสดงการออกเสียง ในหนังสือรุ่นใหม่จะแสดงเครื่องหมายการยกเว้นเสียงสระ (ซุกูน) และเครื่องหมายเพิ่มความยาวเสียงพยัญชนะ (ชัดดะฮ์) ชื่อของอักษรอาหรับมาจากคำที่มีความหมายในภาษาเซมิติกแรกเริ่ม การจัดเรียงอักษรอาหรับมี 2 แบบ
  • รูปแบบเดิมคือ แบบอับญะดี (Abjadī أبجدي) เป็นการจัดเรียงตามอักษรฟินิเชีย คล้ายกับการเรียงแบบ ABC ในภาษาอังกฤษ
  • รูปแบบที่ใช้ในปัจจุบันคือ แบบฮิญาอี (Hejā’i هجائي) ซึ่งเรียงตามรูปร่างของอักษร
  • การจัดเรียงแบบอับญะดี เป็นการจับคู่อักษรอาหรับ 28 ตัวกับอักษรฟินิเชีย 22 ตัว ที่เหลืออีก 6 ตัว เรียงไว้ข้างท้าย ٲ ب ج ده و ذح ط ي ك ل م ن س ع ف ص قرش ت ث خ زض ظ غ
อักษรอาหรับ



ه

ข้ออักษรชื่ออักษรภาษาไทยหมายเหตุ
1اฮัมซะฮ์/อลิฟอ, สระ อา
  • ถ้าฮัมซะฮ์เป็นซุกูน จะเขียนเป็น <อ์> ในภาษาไทย เช่น <มะอ์มูร>
2บาอ์
3ตาอ์
4ษาอ์
5ญีมญ, จญ์ญะวาด, ฮัจญ์, ฮิจญ์เราะฮ์, ฮิญิร
6หาอ์
7คออ์
8ดาล
9ษาล
10รออ์
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ร่อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เราะ>, <เราะฮ์> และ <เราะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ร่อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <รอ>
11ซัย
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ซะ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ซา>
12ซีนซ, ส
  • ถ้าเป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ส> เช่น <อับบาส>
  • ถ้าสะกดด้วยสระ ในภาษาไทยเป็น <ซ> <อับบาซียะฮ์>
13ชีน
14ศ้อด
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ศ็อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เศาะ>, <เศาะฮ์> และ <เศาะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ศ็อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ศอ>
15ฎ๊อด
  • ถ้าสะกดด้วยฎ็อมมะฮ์ หรือฎ็อมมะฮ์+วาว ใช้ ด เป็น <ดุ> และ <ดู> เนื่องจากถ้าเขียนด้วย ฎ และ สระอุหรือสระอูแล้ว สระทั้งสอง จะไม่ปรากฏออกมา
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ฎ็อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เฎาะ> <เฎาะฮ์> และ <เฎาะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ฎ็อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ฎอ>
16ฏออ์
  • ถ้าสะกดด้วยฎ็อมมะฮ์ หรือฎ็อมมะฮ์+วาว ใช้ ต เป็น <ตุ> และ <ตู> เนื่องจากถ้าเขียนด้วย ฏ และ สระอุหรือสระอูแล้ว สระทั้งสอง จะไม่ปรากฏออกมา
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ฏ็อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เฏาะ>, <เฏาะฮ์> และ <เฏาะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ฏ็อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ฏอ>
17ซออ์
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ซ่อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เซาะ>, <เซาะฮ์> และ <เซาะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ซ่อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ซอ>
18อัยน์
  • ถ้าเป็นซุกูน จะเขียน อ์ ในภาษาไทย เช่น <มะอ์มูร>
19ฆอยน์
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ฆ็อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <ฆอ>
20ฟาอ์
21ก๊อฟ
22ก๊าฟ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ในภาษาไทยเป็น <ก็อ>
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพยัญชนะฮัมซะฮ์ ฮาอ์ และหาอ์ที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <เฏาะ>, <เกาะฮ์> และ <เกาะฮ์> ตามลำดับ
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์ ตามด้วยพพยัญชนะอื่นที่เป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ก็อน> เป็นต้น
  • ถ้าสะกดด้วยฟัตฮะฮ์+อลิฟ ในภาษาไทยเป็น <กอ>
23ลาม
24มีม
25นูน
26วาว
27ฮาอ์ฮ, ห
  • ถ้าเป็นซุกูน ในภาษาไทยเป็น <ฮ์> เช่น <มะดีนะฮ์>
  • ถ้าสะกดด้วยสระ ในภาษาไทยเป็น <ฮ> เช่น <ฮิชาม>
28ยาอ์
  • ถ้า ยาอ์ มีสัญลักษณ์ตัชดีด ในภาษาไทยจะสะกดเป็น ย และ การันต์ เช่น <อะลีย์>

สระ
ภาษาอาหรับมีสระแท้สามเสียง โดยแต่ละเสียงมีทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวคือ อะ-อา อิ-อี อุ-อู แต่เมื่อประสมกับพยัญชนะบางตัวจะออกเป็น เอาะ-ออ มีสระประสมสองเสียงคือ ไอ กับ เอา ที่สำคัญในภาษาอาหรับนั้นจะมีแต่เสียงสระเท่านั้นจะไม่ใส่รูปสระ
ข้อคำอ่านเสียงสระหมายเหตุ
1ฟัตฮะฮ์สระอะถ้าตัว خ, ر, ص,ض,ط,ظ,غ,قเจอกับฟัตฮะฮ์ จะเป็นสระเอาะ
2กัสเราะฮ์สระอิ
3ฎ็อมมะฮ์สระอุ
4ฟัตฮะฮ์ + อลิฟสระอาเสียงยาว ถ้าเป็น خ, ر, ص,ض,ط,ظ,غ,ق เจอกับฟัตฮะฮ์อลิฟจะเป็นสระออ
5กัสเราะฮ์ + ยาอ์สระอีเสียงยาว
6ฎ็อมมะฮ์ + วาวสระอูเสียงยาว
7ฟัตฮะฮ์ + ยาอ์อัย,เอถ้าพยางค์นั้นลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นซุกูน จะเป็น สระเอ เช่น <ฮุเซน>, ถ้าเป็น خ , ر, ص, ض, ط,ظ,غ,ق เจอกับฟัตฮะฮ์ + ยาอ์ จะเป็นสระอ็อย
8ฟัตฮะฮ์ + วาวเอา เช่น <เลา>خ , ر, ص, ض, ط,ظ,غ,ق จะเป็นสระอ็อว

โครงสร้างพยางค์
พยางค์ในภาษาอาหรับมีสองชนิดคือพยางค์เปิด (CV, CVV) และพยางค์ปิด (CVC, CVVC, CVCC) ทุกพยางค์เริ่มด้วยพยัญชนะ หรือพยัญชนะที่ยืมมาจากคำก่อนหน้า โดยเฉพาะในกรณีของคำนำหน้านามชี้เฉพาะ al เช่น baytu-l mudiir (บ้านของผู้กำกับ) ซึ่งจะเป็น bay-tul-mu-diir ถ้าออกเสียงแยกทีละพยางค์ โดยผู้กำกับจะเป็น al mudiir ที่มา: th.wikipedia.org

การเน้นหนัก
  • การเน้นหนักในภาษาอาหรับมีความเกี่ยวข้องกับความยาวของเสียงสระและรูปร่างของพยางค์ การเน้นหนักคำที่ถูกต้องช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น กฎพื้นฐานได้แก่
  • เฉพาะพยางค์สุดท้ายของคำที่มีสามพยางค์ที่ถูกเน้นหนัก
  • พยางค์ที่มีสระเสียงยาวหรือพยัญชนะคู่จะถูกเน้นหนัก
  • ถ้าไม่มีพยางค์ดังกล่าว พยางค์ก่อนพยางค์สุดท้ายจะถูกเน้น หรือพยางค์แรกที่ยอมให้เน้นเสียงได้
  • ในภาษาอาหรับมาตรฐาน เสียงสระเสียงยาวเสียงสุดท้ายมักถูกเน้น แต่ไม่ใช้กับสำเนียงที่ใช้พูดซึ่งสระเสียงยาวสุดท้ายดั้งเดิมถูกทำให้สั้นและสระเสียงยาวอันที่สองถูกยกเสียงขึ้น
  • ในบางสำเนียงจะมีกฎการเน้นเสียงที่ต่างออกไป
ไวยากรณ์
คำนามที่ใช้ในภาษาเขียนมี 3 การก คือประธาน กรรม และความเป็นเจ้าของ มี 3 พจน์ คือ เอกพจน์ ทวิพจน์ และพหูพจน์ มี 2 เพศ คือชายกับหญิง และมี 3 สถานะ คือ ทั่วไป ชี้เฉพาะ และผูกประโยค การกของนามเอกพจน์นอกจากที่ลงท้ายด้วย ā แสดงโดยปัจจัยที่เป็นสระเสียงสั้น (/u/ สำหรับประธาน, /a/ สำหรับกรรม และ /i/ สำหรับความเป็นเจ้าของ) นามสตรีเอกพจน์ มักแสดงด้วย /-at/ ซึ่งมักลดรูปเหลือ /-ah/ หรือ /a/ การแสดงพหูพจน์ใช้ได้ทั้งการลงท้ายและการเปลี่ยนแปลงภายในคำ คำนามทุกคำสามารถนำหน้าด้วย /al/ ซึ่งเป็นคำนำหน้านาม นามเอกพจน์รูปชี้เฉพาะนอกจากที่ลงท้ายด้วย ā เติมเสียงตัวสะกด /-n/ เข้าที่สระท้ายการกเป็น /un/ , /an/ และ /in/ ซึ่งเป็นการผันคำนามแบบหนึ่ง มีการเรียงคำแบบ กริยา-ประธาน-กรรม



ที่มา: th.wikipedia.org

ความคิดเห็น